check-allergy

       อาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา เป็นผื่นแดง คัน ฯลฯ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า คุณกำลังแพ้อะไรสักอย่าง แน่นอนว่า วิธีรักษาและป้องกันโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือ “การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้”

แต่ปัญหาสำคัญคือ หลายคนไม่รู้ว่า อาการแพ้ที่ตัวเองเป็นบ่อยๆ นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ หากต้องการทราบสาเหตุการแพ้ที่แน่ชัดก็ควรเข้ารับ “การตรวจภูมิแพ้” หรือ “การทดสอบภูมิแพ้” เพื่อที่จะป้องกันอาการแพ้ได้อย่างตรงจุด

สาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้

“โรคภูมิแพ้” เป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือแพ้การสัมผัสสารต่างๆ โดยอาการแพ้ไรฝุ่นเป็นสาเหตุหลักของการแพ้มากถึง 70-80% ของคนทั่วไป

แต่ไม่ว่าจะแพ้อะไรก็ล้วนเกิดจากกลไกเดียวกันทั้งสิ้นคือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจว่า สารก่อภูมิแพ้นั้นๆ เป็นอันตรายจึงปล่อยสารฮีสตามีนออกมาเพื่อต่อต้าน และทำให้เกิดอาการแพ้ตามมานั่นเอง

ชนิดของสารก่อภูมิแพ้

“สารก่อภูมิแพ้” แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้

1. สารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดม ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น รังแคสัตว์

เมื่อร่างกายสูดดมสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เข้าไป มักจะทำให้มีอาการคัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันตา และมีเสมหะไหลลงคอ ส่วนมากมักจะมีอาการแบบเป็นๆ หายๆ

2. สารก่อภูมิแพ้จากอาหารที่รับประทาน ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ในอาหารที่พบมาก เช่น อาหารทะเล ถั่ว นมวัว นมถั่วเหลือง หรือไข่

อาการแพ้อาหารจะสังเกตได้จากอาการชา หรือคันที่ปาก หู คอ หรือดวงตา มีผื่นคล้ายลมพิษ บวมตามใบหน้า ปาก ลิ้น คอ กลืนอาหารลำบาก หายใจติดขัด เวียนศีรษะ อาเจียน หากแพ้รุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แต่บางคนก็มี “อาการภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance)” ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารบางอย่างได้ตามปกติทำให้มักเกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียตามมา ซึ่งอาจสับสนกับการแพ้สารก่อภูมิแพ้จากอาหาร (Food allergy) จริงๆ ได้

3. สารก่อภูมิแพ้ที่สัมผัสผิวหนัง ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว ยางจากผักผลไม้ หรือต้นไม้

ผู้ป่วยจะมีอาการคัน เกิดตุ่มนูนลมพิษ หรือมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้

วิธีการตรวจภูมิแพ้

ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามข้อมูลทั่วไปกับผู้ป่วย เช่น

  • สอบถามถึงอาการที่เข้าข่ายภูมิแพ้
  • ซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณ เพื่อประเมินว่า อาการภูมิแพ้น่าจะเกิดขึ้นจากอะไร เพราะภูมิแพ้บางชนิดมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ เช่น หอบหืด เป็นต้น
  • ซักประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว เพราะโรคภูมิแพ้นั้นสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

หลังจากซักประวัติ ขั้นตอนต่อไปคือ การตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ มีวิธีดังต่อไปนี้

1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergy skin test)

เป็นการนำ “น้ำยา” ที่สกัดจากสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ในอากาศ เช่น ฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น แมลงสาบ รังแค สัตว์เลี้ยง เกสร หญ้า พืช เรื้อรา และสารก่อภูมิแพ้จากอาหาร เช่น นม ไข่ ถั่ว อาหารทะเล มาทดสอบกับผิวหนังของผู้ป่วย

วิธีนี้ทำได้ง่าย ราคาไม่แพง และทราบผลได้ทันที โดยการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังทำได้ 2 วิธี ได้แก่

1.1 วิธีสะกิด (Skin prick test)

จะใช้น้ำยาสกัดสารก่อภูมิแพ้ เช่น เชื้อรา ฝุ่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ แมลงสาบ มาหยดลงบนผิวหนังบริเวณแขน จากนั้นใช้เข็มสะกิดเบาๆ ที่ตรงกลางหยดน้ำยา เพื่อให้สารก่อภูมิแพ้เข้าไปสัมผัสในชั้นผิวหนัง

หากคุณมีภูมิแพ้ต่อสารนั้นๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยาแพ้ เช่น รอยนูน บวม ผื่นแดง คล้ายตุ่มยุงกัด

วิธีนี้สามารถทราบผลได้ใน 15-20 นาทีหลังการทดสอบ ส่วนมากแล้วหากพบว่า ร่างกายแพ้สารก่อภูมิแพ้ แพทย์จะนำสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ มาทดสอบด้วยวิธีฉีดเข้าไปในผิวหนังต่อ เพื่อตรวจวัดระดับความรุนแรงของการแพ้

วิธีนี้ต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ เป็นวิธีการตรวจภูมิแพ้ที่คนส่วนมากนิยมกัน เพราะทำง่าย สะดวกรวดเร็ว และไม่เจ็บ แต่มีโอกาสเกิดการแพ้อย่างรุนแรงระหว่างการทดสอบ และสารทดสอบภูมิแพ้มีชนิดน้อยกว่าการเจาะเลือด

1.2 วิธีฉีดเข้าไปในผิวหนัง (Intradermal test)

คล้ายๆ กับวิธีสะกิด แต่จะใช้เข็มฉีดยาฉีดน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในชั้นผิวหนังแทน

หากมีอาการแพ้ก็จะเกิดเป็นรอยนูนจุดเล็กๆ คล้ายวิธีสะกิด สามารถอ่านผลได้ภายใน 20 นาทีหลังฉีดเช่นกัน แต่เป็นวิธีที่ทำยาก เสียเวลา ใช้อุปกรณ์มาก เจ็บ และเสี่ยงเกิดอาการแพ้ทั่วร่างกายได้มากกว่าวิธีการสะกิด

2. การตรวจเลือดหาปริมาณสารก่อภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ (Serum Specific IgE)

ทำได้ด้วยการเจาะเลือดหาค่าอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ชนิดที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Specific IgE) ในห้องปฏิบัติการ

การเจาะเลือดเพียง 1 ครั้ง ก็สามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ได้หลายชนิด และแพ้ในระดับมากน้อยแค่ไหน

วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนัง หรือแพ้ทางผิวหนังง่าย

ข้อดีคือ ไม่ต้องเสียเวลาเข้ารับการทดสอบนาน ไม่ต้องงดยาแก้แพ้ก่อนตรวจ และไม่เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ทั่วร่างกาย

3. การลองเลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าแพ้
หากเป็นอาการภูมิแพ้ที่คาดว่า จะเกิดจากการรับประทานอาหาร แพทย์จะให้คุณลองหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ สลับกับการกลับมารับประทานอีกครั้ง เพื่อสังเกตว่า ระหว่างรับประทาน และหยุดรับประทานมีอาการต่างกันอย่างไร หากระหว่างรับประทานแล้วมีอาการแพ้แสดงว่า คุณแพ้อาหารชนิดนั้น

ตรวจภูมิแพ้ในเด็กได้หรือไม่?

เด็กๆ สามารถตรวจภูมิแพ้ได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไรก็ตาม แต่หากเป็นการตรวจด้วยวิธีสะกิด (Skin prick test) มักทำในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เนื่องจากเด็กที่มีอายุน้อยกว่านี้จะมีความไวของผิวหนังน้อยทำให้ผลตรวจผิดพลาดได้

แต่หากอายุไม่ถึง 6 เดือน และมีอาการภูมิแพ้อย่างชัดเจนก็สามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทดสอบภูมิแพ้ได้